
ยอมรับ ไม่ใช่… ยอมแพ้ ไม่ใช่ว่าเราอ่อนแอ
เพราะ บางครั้งเหตุการได้เกิดขึ้นไปแล้ว
การยอมรับช่วยให้เราสามารถรับมือกับเหตุการได้ดีขึ้น
คนที่ยอมรับความจริงได้นอกจากใจจะทุกข์น้อยลงแล้ว
ยังสามารถใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาอย่างเต็มที่
ไม่ถูกรบกวนด้วยอารมณ์ต่างๆ ผิดกับคนที่ไม่ยอมรับความจริง
จะมัวแต่ตีโพยตีพาย คร่ำครวญ จนไม่เป็นอันทำอะไร
เอาแต่โทษนั่นโทษนี่ จนไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ปัญหาที่ควรแก้จึงไม่ได้แก้
ความสุขนั้นมีอยู่รอบตัว แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น
เพราะใจจดจ่อแต่ความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า
ผลก็คือขณะที่ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง
เรากลับละทิ้งความสุขที่มีอยู่รอบตัวทั้งๆที่เราสามารถไขว่คว้าไว้ได้
สุข กับ ทุก ข์ เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน มันสามารถพลิกกลับไปกลับมาได้
ด้วยเหตุนี้เวลาจะมีความสุขกับอะไรหรือใครก็ตาม
อย่าคร่ำครวญจนมองไม่เห็นความสุข แต่ก็อย่าเพลินกับความสุขจนท่วมท้นใจ
ควรเผื่อใจไว้รับมือกับความผันผวนปรวนแปรที่ไม่ถูกใจเรา
วันนี้ทุกอย่างเป็นไปตามใจหวัง แต่พรุ่งนี้อาจกลายเป็นตรงกันข้าม
สาเหตุที่เรายอมรับความจริงได้ยาก เพราะ เราสุขจนลืมเผื่อใจไว้ ทุ ก ข์
ส่วนหนึ่งก็เพราะเราหวนคิดถึงอดีตที่สวยงาม เมื่อเราต้องสูญเสียอะไรสักอย่าง
เราจะรู้สึกแย่ทันทีเมื่อหวนนึกถึงตอนที่เรายังมีสิ่งนั้น หรือยังสุขสบายดี
ความอาลัย ความเสียดาย จะทำให้เราไม่สามารถยอมรับความจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้
“เป็นอะไร” ไม่สำคัญเท่า “เป็นอย่างไร” จะเป็นคนสวนหรือเสมียน
ก็อาจจะมีความสุขกว่าผู้จัดการ หรือ อาจทุก ข์กว่าเจ้าของบริษัท
ความสุขไม่เลือกฐานะ หรือ ตำแหน่งหน้าที่การงาน ไม่เลือกอายุ
แต่เลือกอยู่กับคนที่มีสติ และ อยู่กับปัจจุบันให้เป็น
สติที่เรามีในชีวิตประจำวันนั้นเป็นสติที่ยังเชื่องช้าอยู่
ผิดนัดไปชั่วโมงกว่าแล้วถึงนึกขึ้นได้ รีบออกจากบ้านด้วยความเร่งรีบ
ออกจากบ้านไปแล้วถึงนึกได้ว่าลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้านก็ต้องวกกลับไปเอา
เพื่อนโทรมาเร่ง ด้วยความหงุดหงิด… ด่ าเพื่อนไปแล้วถึงนึกได้ว่าไม่น่าเลยเรา
โกรธแฟนเป็นอาทิตย์กว่าจะนึกได้ว่าไปหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เราต้องการสติที่ไวกว่านั้น ชนิดที่เรียกว่าพอหงุดหงิดขึ้นมาก็รู้ตัวและระลึกได้ทันที
พอจิตเริ่มส่าย สติก็ดึงจิตกลับมาสู่ความปกติได้ทันที
ต้องทำให้ได้ขนาดนั้น ถึงจะทำให้เรามีชีวิตที่ปกติ
ขอขอบคุณที่มา : allwaypost
เรียบเรียงโดย : เป็นตาฮัก